วิธีเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งาน
ก่อนจะมาเลือกยางรถยนต์ เรามารู้จักยางรถยนต์กัน
สำหรับในบ้านเราถ้าให้มาบอกว่าถึงประเภทของยางรถยนต์นั้นคงจะยาก ส่วนใหญ่เราจะมาแบ่งเป็นประเภทการใช้งาน หรือประเภทรถกันเสียมากกว่า อย่างยางรถยนต์นั่ง ยางรถสปอร์ต ยางรถกระบะกับยางรถตู้ใช้เหมือนกันเพราะเน้นไปที่การบรรทุก หรือออกไปแนวเฉพาะกลุ่มประเภทยางออฟโรด เป็นต้น
หน้าที่หลักของยางรถยนต์ 4 ประการ ตั้งแต่รับน้ำหนักรถยนต์และบรรทุก ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อนลงสู่พื้นถนน และทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามต้องการนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการคิดค้นและพัฒนายางรถยนต์ขึ้นมา ซึ่งได้วิวัฒนาการมาเรื่อย จนปัจจุบันยางรถยนต์มีโครงสร้างสำคัญ คือ เนื้อยางตัวนอกสุดสัมผัสถนน ชั้นต่อมาเป็นผ้าใบเสริมความแข็งแรง เข็มขัดรัดหน้ายาง และโครงยางที่ปัจจุบันหลักๆ จะแยกเป็นโครงยางเส้นลวด หรือที่เรียกว่ายางเรเดียล และอีกแบบเป็นโครงยางผ้าใบ แต่ปัจจุบันในรถยนต์นั่ง หรือปิกอัพ 1 ตัน จะเป็นยางเรเดียลกันหมดแล้ว และส่วนสุดท้ายเป็นขอบยาง
โครงสร้างยางเหล่านี้จะแยกผลิต และนำมารวมเป็นยางรถยนต์หนึ่งวง ในกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งคงต้องผ่าแบบหน้าตัดออกมาดูจึงจะเห็น แต่ที่ผู้ใช้รถจะเห็นและสัมผัสโดยตรง เป็นหน้ายางมีดอกยางแตกต่างกันไป หลักๆ จะมีเป็นแบบสมมาตร(Symmetrical) หน้ายางจะมีดอกยางที่เหมือนกัน แบบนี้จะทำให้รถมีความนุ่ม และสลับยางง่าย อีกแบบจะเป็นลักษณะไม่สมมาตร(Asymmetrical) ที่ดอกยางจะแตกต่างกัน เน้นการขับขี่ประสิทธิภาพเฉพาะ และยึดเกาะถนนเหมาะกับการเข้าโค้งความเร็วสูง และแบบกำหนดทิศทางการหมุน(Uni-direction) ดอกยางจะมีลักษณะหมุนหรือชี้ไปทิศทางเดียวกัน ทำให้มีการรีดน้ำ ควบคุมการทรงดี และขับขี่ความเร็วสูงได้ดี แต่จะยุ่งยากในการเปลี่ยน หรือสลับยาง ใส่ผิดทิศไม่ได้เพราะส่งผลต่อการขับขี่
สำหรับในบ้านเราถ้าให้มาบอกว่าถึงประเภทของยางรถยนต์นั้นคงจะยาก ส่วนใหญ่เราจะมาแบ่งเป็นประเภทการใช้งาน หรือประเภทรถกันเสียมากกว่า อย่างยางรถยนต์นั่ง ยางรถสปอร์ต ยางรถกระบะกับยางรถตู้ใช้เหมือนกันเพราะเน้นไปที่การบรรทุก หรือออกไปแนวเฉพาะกลุ่มประเภทยางออฟโรด เป็นต้น
หน้าที่หลักของยางรถยนต์ 4 ประการ ตั้งแต่รับน้ำหนักรถยนต์และบรรทุก ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อนลงสู่พื้นถนน และทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามต้องการนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการคิดค้นและพัฒนายางรถยนต์ขึ้นมา ซึ่งได้วิวัฒนาการมาเรื่อย จนปัจจุบันยางรถยนต์มีโครงสร้างสำคัญ คือ เนื้อยางตัวนอกสุดสัมผัสถนน ชั้นต่อมาเป็นผ้าใบเสริมความแข็งแรง เข็มขัดรัดหน้ายาง และโครงยางที่ปัจจุบันหลักๆ จะแยกเป็นโครงยางเส้นลวด หรือที่เรียกว่ายางเรเดียล และอีกแบบเป็นโครงยางผ้าใบ แต่ปัจจุบันในรถยนต์นั่ง หรือปิกอัพ 1 ตัน จะเป็นยางเรเดียลกันหมดแล้ว และส่วนสุดท้ายเป็นขอบยาง
โครงสร้างยางเหล่านี้จะแยกผลิต และนำมารวมเป็นยางรถยนต์หนึ่งวง ในกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งคงต้องผ่าแบบหน้าตัดออกมาดูจึงจะเห็น แต่ที่ผู้ใช้รถจะเห็นและสัมผัสโดยตรง เป็นหน้ายางมีดอกยางแตกต่างกันไป หลักๆ จะมีเป็นแบบสมมาตร(Symmetrical) หน้ายางจะมีดอกยางที่เหมือนกัน แบบนี้จะทำให้รถมีความนุ่ม และสลับยางง่าย อีกแบบจะเป็นลักษณะไม่สมมาตร(Asymmetrical) ที่ดอกยางจะแตกต่างกัน เน้นการขับขี่ประสิทธิภาพเฉพาะ และยึดเกาะถนนเหมาะกับการเข้าโค้งความเร็วสูง และแบบกำหนดทิศทางการหมุน(Uni-direction) ดอกยางจะมีลักษณะหมุนหรือชี้ไปทิศทางเดียวกัน ทำให้มีการรีดน้ำ ควบคุมการทรงดี และขับขี่ความเร็วสูงได้ดี แต่จะยุ่งยากในการเปลี่ยน หรือสลับยาง ใส่ผิดทิศไม่ได้เพราะส่งผลต่อการขับขี่
สิ่งที่สังเกตเห็นอีกอย่างบนยางรถยนต์ เป็นตัวเลขและอักษรบนวงล้อด้านข้างเป็นสัญลักษณ์ วิธีการดู
ตัวอย่างเช่น 195/65 R 15 91V แบบนี้จะเป็นยางรถยนต์นั่งทั่วไป
✅ความหมายของเลข 195 คือ ความกว้างของยาง(มม.),
✅65 เป็นอัตราส่วนขนาดยาง(65%) ของความกว้างยาง
✅ ตัว R เป็นโครงสร้างยางแบบเรเดียล( ถ้า – หมายถึงยางแบบผ้าใบ)
✅ เลข 15 เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ(นิ้ว)
✅ 91 เป็นดัชนีในการรับน้ำหนัก(615 กก./เส้น) และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยาง(แต่ละอักษรจะมีความเร็วแตกต่าง ซึ่ง V = ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.)
เมื่อรู้จักยางรถยนต์เบื้องต้นกันแล้ว บางคนอยากจะเปลี่ยนยางใหม่ หรือยางเก่าหมดอายุแล้ว และกำลังมองหายางใหม่มาแทน สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกใช้ยางรถยนต์ ควรเลือกใช้ขนาดของยาง ชนิดโครงสร้างยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ที่สำคัญรับน้ำหนักไม่น้อยกว่าเดิม ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ให้เหมาะสมกับขนาดยาง สำหรับบางชนิดไม่ใช้ยางใน(Tubeless) เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ ควรเปลี่ยนวาล์วใหม่ด้วยทุกครั้ง
ตัวอย่างเช่น 195/65 R 15 91V แบบนี้จะเป็นยางรถยนต์นั่งทั่วไป
✅ความหมายของเลข 195 คือ ความกว้างของยาง(มม.),
✅65 เป็นอัตราส่วนขนาดยาง(65%) ของความกว้างยาง
✅ ตัว R เป็นโครงสร้างยางแบบเรเดียล( ถ้า – หมายถึงยางแบบผ้าใบ)
✅ เลข 15 เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ(นิ้ว)
✅ 91 เป็นดัชนีในการรับน้ำหนัก(615 กก./เส้น) และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยาง(แต่ละอักษรจะมีความเร็วแตกต่าง ซึ่ง V = ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.)
เมื่อรู้จักยางรถยนต์เบื้องต้นกันแล้ว บางคนอยากจะเปลี่ยนยางใหม่ หรือยางเก่าหมดอายุแล้ว และกำลังมองหายางใหม่มาแทน สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกใช้ยางรถยนต์ ควรเลือกใช้ขนาดของยาง ชนิดโครงสร้างยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ที่สำคัญรับน้ำหนักไม่น้อยกว่าเดิม ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ให้เหมาะสมกับขนาดยาง สำหรับบางชนิดไม่ใช้ยางใน(Tubeless) เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ ควรเปลี่ยนวาล์วใหม่ด้วยทุกครั้ง
ในส่วนของการบำรุงรักษายางรถยนต์ ควรเช็คลมยางและเติมลมยางให้ถูกต้อง (ยางอะไหล่ให้ตรวจเช็คลมยางเช่นกัน และควรเติมลมยางมากกว่าอัตรากำหนด) ตามอัตราที่กำหนดเป็นประจำในขณะที่ยางเย็น ปกติจะมีแจ้งบอกขนาดยาง และอัตราลมยางล้อหน้า-หลังที่กำหนด โดยส่วนใหญ่หน่วยจะเป็นปอนด์ (PSI : ปอนด์/ตารางนิ้ว) แต่หากเติมลมยางหลังใช้งานควรเติมเพิ่มประมาณ 2 ปอนด์ เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว จากการเกิดความร้อนของยางขณะวิ่ง
การที่ลมยางน้อยหรืออ่อนเกินไป จะทำให้ยางสึกบริเวณไหล่ยาง ทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนหากเติมลมยางมากไป จะทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย จากพื้นที่การเกาะถนนลดลง โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อเกิดการกระแทก หรือถูกตำ จากการยึดหยุ่นได้น้อย อายุยางลดลง และความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลง โดยลักษณะยางจะสึกบริเวณกลางหน้ายาง ซึ่งยางลมที่เหมาะสมหน้ายางจะมีการสึกสม่ำเสมอ แต่กรณีรถเก๋งที่ขับระยะทางไกลด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ เพื่อการคืนตัวของยางจะเร็วขึ้น และไม่เสียรูปทรงยาง ทำให้มีอายุการใช้งานนานด้วย
สำหรับกรณีที่เป็นยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ หรือในช่วง 3,000 กิโลเมตรแรก เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง และเพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว และแกนวาล์ว ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลาทั้งนี้ควรมีการสลับตำแหน่งยาง เพื่อช่วยให้มีการสึกหรออย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กัน โดยยางเรเดียลจะสลับทุกๆ ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร และยางผ้าใบจะประมาณ 5,000 กิโลเมตร และควรบำรุงรักษาระบบช่วงล่างของรถยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ และตรวจสอบศูนย์ล้อให้ได้มาตรฐานของรถยนต์ โดยวิธีตรวจสอบศูนย์ล้อด้วยตัวเอง ว่าเป็นปกติหรือไม่ สังเกตง่ายๆ เวลาเลี้ยว 90 องศา ให้ดูการคืนพวงมาลัยเป็นปกติหรือไม่ ถ้าต้องดึงพวงมาลัยช่วยคืน แสดงว่าศูนย์ล้อไม่ปกติ
การที่ลมยางน้อยหรืออ่อนเกินไป จะทำให้ยางสึกบริเวณไหล่ยาง ทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนหากเติมลมยางมากไป จะทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย จากพื้นที่การเกาะถนนลดลง โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อเกิดการกระแทก หรือถูกตำ จากการยึดหยุ่นได้น้อย อายุยางลดลง และความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลง โดยลักษณะยางจะสึกบริเวณกลางหน้ายาง ซึ่งยางลมที่เหมาะสมหน้ายางจะมีการสึกสม่ำเสมอ แต่กรณีรถเก๋งที่ขับระยะทางไกลด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ เพื่อการคืนตัวของยางจะเร็วขึ้น และไม่เสียรูปทรงยาง ทำให้มีอายุการใช้งานนานด้วย
สำหรับกรณีที่เป็นยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ หรือในช่วง 3,000 กิโลเมตรแรก เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง และเพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว และแกนวาล์ว ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลาทั้งนี้ควรมีการสลับตำแหน่งยาง เพื่อช่วยให้มีการสึกหรออย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กัน โดยยางเรเดียลจะสลับทุกๆ ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร และยางผ้าใบจะประมาณ 5,000 กิโลเมตร และควรบำรุงรักษาระบบช่วงล่างของรถยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ และตรวจสอบศูนย์ล้อให้ได้มาตรฐานของรถยนต์ โดยวิธีตรวจสอบศูนย์ล้อด้วยตัวเอง ว่าเป็นปกติหรือไม่ สังเกตง่ายๆ เวลาเลี้ยว 90 องศา ให้ดูการคืนพวงมาลัยเป็นปกติหรือไม่ ถ้าต้องดึงพวงมาลัยช่วยคืน แสดงว่าศูนย์ล้อไม่ปกติ
เลือกซื้อรถมือสองอย่างไร ให้ได้รถสภาพดี
ในปัจจุบันรถยนต์บนท้องถนนมีเป็นจำนวนมาก ในแต่ละปีมีสถิติการออกรถใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนท้องถนนจึงเต็มไปด้วยมือใหม่หัดขับ ที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องขับรถเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังต้องประสบกับปัญหารถติด อุบัติเหตุ มลพิษทางอากาศ เป็นประจำทุกวัน ถึงแม้จะมีผลกระทบมากมาย แต่ถึงอย่างไรรถยนต์ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งมอบความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว
รถมือสอง คุณภาพดี เลือกซื้ออย่างไร การถอยรถใหม่ไม่ใช่ตัวเลือกของใครหลายคน เพราะสถานะด้านการเงินและความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองถูกมองว่าเป็นรถยนต์ที่มีปัญหา แถมสมรรถภาพรถยนต์ยังลดลงอีกด้วย เพราะเหตุนี้จึงสร้างความกังวลใจให้กับผู้ซื้อเป็นอย่างมาก พี่หมีจึงนำบทความ "ซื้อรถมือสองต้องตรวจเช็คอะไรบ้าง?" เพื่อเป็นตัวเลือก และทางออกที่ดี ให้กับผู้ที่สนใจการเลือกซื้อรถมือสอง รับรองคุณจะได้รถยนต์สภาพพร้อมขับขี่
ประวัติการซ่อมบำรุง
ซื้อรถมือสองจะต้องดูเรื่องประวัติการซ่อมบำรุงจากศูนย์บริการ โดยจะบอกรายละเอียดไว้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการแก้ไข การซ่อมล่าสุด เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่า รถที่จะซื้อมีประวัติความเป็นมาอย่างไร หรือมีปัญหาตรงไหนที่ต้องซ่อมแซมเปลี่ยนอะไหล่
เช็คเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ เพราะสามารถบอกสัญญาณความผิดปกติในการทำงานได้ ให้คุณทำการสตาร์ทรถ พร้อมเช็คความผิดปกติของเครื่องยนต์ในขณะที่สตาร์ท และดับเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการเช็คคราบสิ่งสกปรกที่ขั้วแบตเตอรี่ กลิ่นไหม้เมื่อสตาร์ท การรั่วซึม และระดับของเหลวต่ำ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
สตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น
การเลือกซื้อรถมือสองในเต็นท์รถ แนะนำว่าไม่ควรบอกผู้ขายว่าเราจะเข้าไปดูรถวันไหน เวลาไหน เพราะจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ขายมีการเตรียมรถไว้ก่อน โดยให้คุณทำการสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็นว่าติดง่ายหรือติดยาก หากพบว่าติดยากแน่นอนว่ารถมีปัญหาเรื่องของแบตเตอรี่หรือไดสตาร์ท
สีและกลิ่นของควันไอเสีย
สีของควันไอเสีย สามารถบอกว่าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพปกติหรือไม่ หากมีควันไอเสียเล็กน้อยถือว่าปกติ แต่…ถ้าเป็นควันสีดำจำนวนมาก พร้อมกลิ่นเหม็น นั่งบ่งบอกได้ว่าเครื่องยนต์กำลังเผาไหม้น้ำมันเครื่อง และมีความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์
ตรวจสอบส่วนประกอบของรถยนต์
ข้อนี้ถือว่าสำคัญ เพราะเต็นท์รถมือสองบางที่ มีการนำอะไหล่รถจริงออกแล้วเอาอะไหล่ปลอมเปลี่ยนใส่แทน เพื่อเป็นการย้อมแมว เพราะฉะนั้นควรทำการตรวจรอยถลอก รอยแตก รั่วซึม หรือศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยี่ห้อรถที่ซื้อ เพื่อเป็นความรู้และได้รถที่มีคุณภาพดี
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากคุณไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่ถนัดการเลือกซื้อรถมือสอง แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์หรือให้ไปช่วยเลือกรถกับคุณ เพื่อเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยให้คุณตัดสินใจในการเลือกซื้อรถมือสองได้ง่ายขึ้น เพราะผู้เชี่ยวชาญทราบดีอยู่แล้วว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง ควรซื้อหรือไม่
ทดลองขับรถมือสองก่อน
การทดลองขับรถก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ถือเป็นการตรวจสอบที่ดี เพราะสามารถรู้สมรรถภาพรถโดยรวมว่าเป็นอย่างไร ดีไหม หรือมีตรงส่วนไหนผิดปกติ
เช็คสัญญาข้อมูลการซื้อขาย
ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้คุณได้รถที่มีคุณภาพ หลักฐานการซื้อขายถูกต้องตามเงื่อนไขกำหนด ควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนเซ็นสัญญา การเลือกซื้อรถมือสอง ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด บางอย่างอาจจะต้องใช้ประสบการณ์ และความยากง่าย เพราะฉะนั้นไม่ควรเร่งรีบในการตัดสินใจซื้อ ควรเช็คสภาพรถยนต์ให้ดี เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังการซื้อ ทริคที่พี่หมีแนะนำไปข้างต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้ รับรองได้รถคุณภาพดีอย่างแน่นอน
รถมือสอง คุณภาพดี เลือกซื้ออย่างไร การถอยรถใหม่ไม่ใช่ตัวเลือกของใครหลายคน เพราะสถานะด้านการเงินและความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองถูกมองว่าเป็นรถยนต์ที่มีปัญหา แถมสมรรถภาพรถยนต์ยังลดลงอีกด้วย เพราะเหตุนี้จึงสร้างความกังวลใจให้กับผู้ซื้อเป็นอย่างมาก พี่หมีจึงนำบทความ "ซื้อรถมือสองต้องตรวจเช็คอะไรบ้าง?" เพื่อเป็นตัวเลือก และทางออกที่ดี ให้กับผู้ที่สนใจการเลือกซื้อรถมือสอง รับรองคุณจะได้รถยนต์สภาพพร้อมขับขี่
ประวัติการซ่อมบำรุง
ซื้อรถมือสองจะต้องดูเรื่องประวัติการซ่อมบำรุงจากศูนย์บริการ โดยจะบอกรายละเอียดไว้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการแก้ไข การซ่อมล่าสุด เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่า รถที่จะซื้อมีประวัติความเป็นมาอย่างไร หรือมีปัญหาตรงไหนที่ต้องซ่อมแซมเปลี่ยนอะไหล่
เช็คเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ เพราะสามารถบอกสัญญาณความผิดปกติในการทำงานได้ ให้คุณทำการสตาร์ทรถ พร้อมเช็คความผิดปกติของเครื่องยนต์ในขณะที่สตาร์ท และดับเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการเช็คคราบสิ่งสกปรกที่ขั้วแบตเตอรี่ กลิ่นไหม้เมื่อสตาร์ท การรั่วซึม และระดับของเหลวต่ำ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
สตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น
การเลือกซื้อรถมือสองในเต็นท์รถ แนะนำว่าไม่ควรบอกผู้ขายว่าเราจะเข้าไปดูรถวันไหน เวลาไหน เพราะจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ขายมีการเตรียมรถไว้ก่อน โดยให้คุณทำการสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็นว่าติดง่ายหรือติดยาก หากพบว่าติดยากแน่นอนว่ารถมีปัญหาเรื่องของแบตเตอรี่หรือไดสตาร์ท
สีและกลิ่นของควันไอเสีย
สีของควันไอเสีย สามารถบอกว่าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพปกติหรือไม่ หากมีควันไอเสียเล็กน้อยถือว่าปกติ แต่…ถ้าเป็นควันสีดำจำนวนมาก พร้อมกลิ่นเหม็น นั่งบ่งบอกได้ว่าเครื่องยนต์กำลังเผาไหม้น้ำมันเครื่อง และมีความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์
ตรวจสอบส่วนประกอบของรถยนต์
ข้อนี้ถือว่าสำคัญ เพราะเต็นท์รถมือสองบางที่ มีการนำอะไหล่รถจริงออกแล้วเอาอะไหล่ปลอมเปลี่ยนใส่แทน เพื่อเป็นการย้อมแมว เพราะฉะนั้นควรทำการตรวจรอยถลอก รอยแตก รั่วซึม หรือศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยี่ห้อรถที่ซื้อ เพื่อเป็นความรู้และได้รถที่มีคุณภาพดี
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากคุณไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่ถนัดการเลือกซื้อรถมือสอง แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์หรือให้ไปช่วยเลือกรถกับคุณ เพื่อเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยให้คุณตัดสินใจในการเลือกซื้อรถมือสองได้ง่ายขึ้น เพราะผู้เชี่ยวชาญทราบดีอยู่แล้วว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง ควรซื้อหรือไม่
ทดลองขับรถมือสองก่อน
การทดลองขับรถก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ถือเป็นการตรวจสอบที่ดี เพราะสามารถรู้สมรรถภาพรถโดยรวมว่าเป็นอย่างไร ดีไหม หรือมีตรงส่วนไหนผิดปกติ
เช็คสัญญาข้อมูลการซื้อขาย
ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้คุณได้รถที่มีคุณภาพ หลักฐานการซื้อขายถูกต้องตามเงื่อนไขกำหนด ควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนเซ็นสัญญา การเลือกซื้อรถมือสอง ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด บางอย่างอาจจะต้องใช้ประสบการณ์ และความยากง่าย เพราะฉะนั้นไม่ควรเร่งรีบในการตัดสินใจซื้อ ควรเช็คสภาพรถยนต์ให้ดี เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังการซื้อ ทริคที่พี่หมีแนะนำไปข้างต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้ รับรองได้รถคุณภาพดีอย่างแน่นอน
การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นให้กับรถแต่ละประเภท
หลายคนน่าจะมีคำถามยามถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ถ้าเลือกเข้าศูนย์คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนเองเป็นครั้งแรกคงเก้ๆ กังๆ ตัดสินใจไม่ถูก เพราะน้ำมันเครื่องนั้นมีหลากหลายชนิดเสียเหลือเกิน ดังนั้นใครที่ใช้รถก็ควรรู้เรื่องน้ำมันเครื่องเอาไว้สักหน่อย จะได้เลือกให้ถูกต้องเหมาะกับรถของเรา
ก่อนจะเลือก เรามารู้จักน้ำมันเครื่องกันก่อนดีกว่าว่ามีรุ่นไหนบ้าง โดย น้ำมันเครื่อง ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- น้ำมันเครื่องธรรมดา หรือน้ำมันแร่ (Mineral) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่ผ่านกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง ระยะแนะนำการใช้งานประมาณ 5,000-7,000 กม. หรือ 4 เดือน สำหรับน้ำมันเครื่องธรรมดาแบบนี้ ส่วนมากจะมีอายุการใช้งานสั้นที่สุดในบรรดาน้ำมันทั้งหมด และแน่นอนว่าราคาก็ถูกที่สุดเป็นเรื่องปกติ
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ เพื่อเสริมคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา โดยมีระยะแนะนำการใช้งานที่สูงขึ้น อยู่ที่ประมาณ 7,000 – 10,000 กม. หรือ 6 เดือน สำหรับอัตราส่วนการผสมของน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ ในประเทศไทยนั้นไม่มีการกำหนดหรือกฎหมายข้อบังคับในเรื่องอัตราส่วนการผสม ดังนั้นแม้จะมีอัตราส่วนของน้ำมันสังเคราะห์อยู่ 20% ก็เรียกว่าเป็นน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาสูตรการผลิตของแต่ละบริษัทด้วย ด้านราคาที่ถือว่าไม่แพงมาก แถมประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควร จึงเป็นน้ำมันเครื่องแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นซึ่งสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป โดยมีระยะแนะนำการใช้งานสูงที่สุด อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 กม. หรือ 9 เดือน น้ำมันเครื่องชนิดนี้มีความพิเศษพิถีพิถันมากที่สุด เพราะกรรมวิธีการผลิตทุกอย่างถูกคิดค้นมาจากการวิจัยในแลบทดลองของผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อเลย แน่นอนว่าประสิทธิภาพนั้นไม่ต้องพูดถึง จุดเด่นก็คือทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับการใช้งานในทุกสภาวะการขับขี่ ป้องกันการสึกหรอในชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ราคาจึงสูงที่สุด เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลรถมากเป็นพิเศษหรือรถที่มีราคาสูง
วิธีดูค่าของน้ำมันเครื่อง
หลังจากรู้จักประเภทของน้ำมันเครื่องแล้ว เรามารู้วิธีดูค่าระดับมาตรฐานของน้ำมันเครื่องประเภทต่างๆ ดีกว่า โดยขอจำแนกดังนี้
มาตรฐาน API (American Petroleum Institute Standard) เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยน้ำมันเครื่องนั้นจะมีระดับ API อยู่ 2 ประเภท
หลังจากรู้จักประเภทของน้ำมันเครื่องแล้ว เรามารู้วิธีดูค่าระดับมาตรฐานของน้ำมันเครื่องประเภทต่างๆ ดีกว่า โดยขอจำแนกดังนี้
มาตรฐาน API (American Petroleum Institute Standard) เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยน้ำมันเครื่องนั้นจะมีระดับ API อยู่ 2 ประเภท
- หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย S เช่น API SM, API SN โดยปัจจุบัน API SN Plus เป็นมาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซินในขณะนี้ เหนือกว่าในด้านการป้องกันการชิงจุดระเบิดที่รอบต่ำของเครื่องยนต์ฉีดตรงติดเทอร์โบ (T-GDI) ปกป้องการสึกหรอ ทนต่อความร้อน และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงดีขึ้น รองรับการใช้งานกับน้ำมัน E85 ทั้งนี้ ระดับคุณภาพที่สูงขึ้นสามารถใช้ทดแทนน้ำมันเครื่องระดับมาตรฐานที่ต่ำกว่าได้
- ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลงานหนักจะขึ้นต้นด้วย “C” เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดย CK-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซลงานหนัก เน้นรองรับการทำงานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลงานหนักรุ่นใหม่ล่าสุดระดับ EURO V ประกาศใช้เมื่อปี 2017
ในส่วนสุดท้าย การเลือกน้ำมันเครื่องต้องพิจารณาเบอร์ความหนืดที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วย เช่น
SAE 10W-30 คือค่ามาตรฐานจาก SAE (The Society of Automotive Engineer) ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง วิธีอ่านให้แยกเป็น 2 ชุด ค่าชุดเลขตัวแรกคือ 10W เป็นค่าความหนืด หรือการไหลเทของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิต่ำ เช่น
*0W = สามารถไหลเทและใช้งานได้ตามปกติที่อุณหภูมิ -35 °C โดยไม่เป็นไข
ซึ่งหลายคนเลือกเปลี่ยนน้ำมันเครื่องคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณหภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล และสำหรับเครื่องยนต์ใหม่ปัจจุบันก็เริ่มกันที่เบอร์ 20 แล้ว และค่อยๆ ปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องยังคงความฟิต รักษากำลังอัด และลดการกินน้ำมันเครื่อง
SAE 10W-30 คือค่ามาตรฐานจาก SAE (The Society of Automotive Engineer) ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง วิธีอ่านให้แยกเป็น 2 ชุด ค่าชุดเลขตัวแรกคือ 10W เป็นค่าความหนืด หรือการไหลเทของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิต่ำ เช่น
*0W = สามารถไหลเทและใช้งานได้ตามปกติที่อุณหภูมิ -35 °C โดยไม่เป็นไข
- 5W = สามารถไหลเทและใช้งานได้ตามปกติที่อุณหภูมิ -30 °C
- 10W = สามารถไหลเทและใช้งานได้ตามปกติที่อุณหภูมิ -25 °C
ซึ่งหลายคนเลือกเปลี่ยนน้ำมันเครื่องคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณหภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล และสำหรับเครื่องยนต์ใหม่ปัจจุบันก็เริ่มกันที่เบอร์ 20 แล้ว และค่อยๆ ปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องยังคงความฟิต รักษากำลังอัด และลดการกินน้ำมันเครื่อง
ซึ่งหลายคนเลือกเปลี่ยนน้ำมันเครื่องคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล และสำหรับเครื่องยนต์ใหม่ก็มักจะเริ่มกันที่ 40 และปรับค่อยๆ ปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องยังคงความฟิต